วันจันทร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง

เรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง

  หลายคนอาจจะเคยเห็นภาพถ่ายวัตถุต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวไปตามทางราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นขยับได้จริง ๆ เช่น รถยนต์ จักรยาน และมอเตอร์ไซค์ ทำให้เกิดความสนใจอยากถ่ายรูปแบบนี้บ้าง แต่ไม่แน่ใจว่าควรถ่ายยังไง ถึงจะให้ภาพออกมาแบบนั้นได้ วันนี้มีเทคนิคง่าย ๆ เกี่ยวกับการเก็บภาพเคลื่อนไหวที่เรียกว่า การแพนนิ่ง จากเว็บไซต์ digital-photography-school มาฝากกันครับ
         การแพนนิ่ง คือการเลื่อนกล้องไปตามวัตถุหลักที่เราต้องการจะถ่ายและโฟกัสไว้ด้วยความเร็วชัตเตอร์ต่ำ ซึ่งจะช่วยให้ภาพที่ออกมาสื่อถึงการเคลื่อนที่ของวัตถุได้เป็นอย่างดี โดยที่ฉากหลังจะพร่าเหมือนขยับอยู่ ขณะที่ตัววัตถุจะดูนิ่ง ไม่เพียงเท่านี้ ค่าความกว้างของรูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ต้องมีความสัมพันธ์กับความเร็วของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ด้วย จึงจะทำให้วัตถุดูคมชัดและฉากหลังเคลื่อนที่อยู่นั่นเอง

         ทั้งนี้ การถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านหน้ากล้องอาจดูเหมือนเป็นเรื่องยากในการปรับค่าต่าง ๆ แถมต้องอาศัยประสบการณ์อยู่ไม่น้อย ยังไงก็ลองฝึกถ่ายบ่อย ๆ ดู ไม่แน่ว่าคุณอาจจะได้ภาพที่สวยงามจนไม่เชื่อสายตาตัวเองก็เป็นได้ครับ 
ถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง
1/25 วินาที - F/11 - ISO 100 รูปจาก Flickr Natalia Mink


ถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง
1/15 วินาที -F/11.0 - ISO 800 รูปจาก Flickr Onto Logia


ถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง
1/25 วินาที - F/10 - ISO 100 รูปจาก Flickr Michael


ถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง
1/30 วินาที - F/3.5 - ISO 400 รูปจาก Flickr Al BeFranke


ถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง
 1/15 วินาที - F/4.5 - ISO 200 รูปจาก Flickr Sam Javanrouh


ถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง
1/13 วินาที - F/22 รูปจาก Flickr Scott Ableman


ถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง
1/25 วินาที - F/16 - ISO 200 รูปจาก Flickr Rakib Hasan Sumon


ถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง
1/30 วินาที - F/8 - ISO 200 รูปจาก Flickr Gunnar T


ถ่ายภาพเคลื่อนไหวด้วยการแพนนิ่ง

1/8 วินาที - F/16 - ISO 100 รูปจาก Flickr ozen

ที่มา : https://men.kapook.com/view112838.html

10 เทคนิคการถ่ายภาพที่ช่วยให้ภาพดูน่าสนใจยิ่งขึ้น

10 เทคนิคการถ่ายภาพที่ช่วยให้ภาพดูน่าสนใจยิ่งขึ้น

 ถ้าอยากให้ภาพที่เราถ่ายออกมาสวยสมใจ บางครั้ง...กล้องราคาแพงหรือชุดอุปกรณ์สุดหรูก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้ หากปราศจากเทคนิคการถ่ายภาพที่ถูกต้อง ซึ่งวันนี้เราได้นำเทคนิคการถ่ายภาพให้น่าสนใจมากขึ้นจากนิตยสาร FOTOINFO มาฝากกันแล้วครับ 

           ทิศทางแสง 

          นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการถ่ายภาพ แสงดีจะทำให้วัตถุและภาพถ่ายมีมิติตื้นลึกหนาบางได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยทิศทางของแสงที่กระทำต่อตัวแบบนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งคุณควรต้องสังเกตให้ดีว่าแสงมาจากด้านไหน จะทำให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับตัวแบบ และแน่นอนว่ามันจะส่งผลไปถึงอารมณ์ของภาพด้วย

          เทคนิคง่าย ๆ หากคุณต้องการทิศทางของแสงธรรมชาติอันน่าสนใจก็คือ จะส่องกล้องไปทางไหนก็ตาม ขอให้พระอาทิตย์อยู่ด้าน ซ้าย/ขวา/หน้า โดยให้มันอยู่สูงขึ้นไปพ้นจากกรอบภาพเสมอ วิธีการนี้จะใช้ได้ผลดีอย่างยิ่งสำหรับตัวแบบที่มีขนาดใหญ่เต็มภาพ

           ประกายแฉก 

          เบสิกที่สุดแต่ก็นิยมมากที่สุด สำหรับวิธีการบีบรูรับแสงแคบเพื่อให้ดวงแสงที่ปรากฏอยู่ในภาพเกิดอาการแตกเป็นประกายแฉกออกมา ทั้งนี้ลักษณะของแฉกแสงจะสวยงามน่าประทับใจแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายภาพของเลนส์เป็นสำคัญ เพราะเลนส์บางรุ่นไม่สามารถให้ประกายแฉกได้หากส่องไปทางดวงแสงโดยตรง แต่บางรุ่นก็สามารถแตกประกายแฉกที่ว่านั้นออกมาให้เห็นได้โดยตรงเลยเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นเลนส์ระดับใดก็ตาม หากคุณวางตำแหน่งของดวงแสงให้ถูกบังหรือหมิ่นเหม่กับวัตถุอะไรสักอย่างโดยให้โผล่ออกมานิด ๆ มันก็จะแตกประกายแฉกอวดเทคนิคพิเศษนี้ออกมาทันที

เทคนิคการถ่ายภาพ

           สีสัน

          ฟังดูไม่น่าจะเป็นเทคนิคอะไรตรงไหน แต่เรื่องพื้น ๆ แบบนี้นี่แหละที่บรรดามืออาชีพต้องคัดสรร เพื่อสร้างความน่าสนใจและดึงดูดสายตาผู้ชมกันเลยทีเดียว ถ้าคุณรู้จักการจับคู่สีอันช่วยส่งเสริมกันได้ละก็ จะยิ่งมีพลังในการเรียกความสนใจได้มาก 

           มุมมองที่แตกต่าง 

          มนุษย์ส่วนมากจะถ่ายภาพจากระดับปกติในขณะนั้น ถ้ายืนอยู่ก็ยกกล้องขึ้นกดโดยไม่คิดอะไรมาก มุมมองก็เลยเป็นมุมเดิม ๆ จากระดับสายตาปกตินี่แหละ

          แต่ถ้าลองใช้มุมมองที่ต่างออกไปบ้าง เป็นต้นว่ามุมต่ำแล้วเงยกล้องด้วยเลนส์มุมกว้าง คุณก็จะได้ภาพถ่ายในระดับสายตาหรือมุมมองอย่างอื่น ซึ่งมุมที่ต่างออกไปนี่แหละจะทำให้ภาพของดูน่าสนใจมากขึ้น แม้บางสิ่งจะดูผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงอยู่บ้างแต่รับรองว่ามันดึงดูดความสนใจได้แน่นอน

เทคนิคการถ่ายภาพ

           น้ำคือชีวิต 

          ไม่ใช่เพียงแค่ในทางกายภาพของธรรมชาติ แต่กระทั่งในภาพถ่าย "น้ำ" ยังช่วยเพิ่มชีวิตชีวาได้ด้วยเหมือนกัน ในมืออาชีพระดับโลกก็ยังใช้น้ำสาดให้เปียกบนพื้นเพื่อเพิ่มเนื้อที่ทางรายละเอียด เพราะพื้นผิวของน้ำจะสะท้อนสิ่งต่าง ๆ ได้ ซึ่งหากมันเป็นพื้นทึบ ๆ ทึม ๆ อันหาสาระอันใดไม่ได้ แต่เมื่อเกิดเงาสะท้อนหลากสีสันขึ้นมา ภาพก็จะเปลี่ยนไปทันที

           เส้นสาย 

          เทคนิคพื้นฐานสำหรับการเล่นกับเส้นสายให้ดูน่าสนใจก็คือ คุณควรปล่อยพื้นที่ว่างอันปราศจากเส้นอื่น ๆ ที่จะทับถมกันให้ยุ่งเหยิงเข้าไปอีก วางตำแหน่งเส้นสายที่เล็งเอาไว้ให้อยู่บนพื้นที่โล่งสักหน่อย ดูจังหวะเส้นสวย ๆ และถ้าหากข้อมูลสีมันทำให้ภาพดูน่าสับสนเกินไป ก็ลองเปลี่ยนให้เป็นภาพขาวดำดู บางทีคุณอาจจะค้นพบว่ามันกลายเป็นภาพแนวอาร์ตสุดเจ๋งที่สุดเท่าที่คุณเคยมีในครอบครองไปเลยก็ได้

เทคนิคการถ่ายภาพ

           ใช้สปีดชัตเตอร์ช้าดูบ้าง 
          เราสามารถใช้สปีดชัตเตอร์ที่ต่ำลงมาอีกสักหน่อยเพื่อสร้างภาพในอารมณ์แบบ "Motion Blur" ซึ่งแสดงการเคลื่อนไหวได้ด้วยเช่นกัน

          เทคนิคการใช้สปีดชัตเตอร์ต่ำแบบนี้ก็เพียงแค่ลดความไวลงมาประมาณสัก 1-2 สตอปจากปกติ แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงความเร็วหรือลักษณะการเคลื่อนไหวของสิ่งนั้นด้วย ซึ่งแน่นอนว่าภาพแบบนี้ย่อมจะถ่ายยากกว่าภาพปกติ แต่ไม่ว่าจะบังเอิญหรือฝีมือ หากมันเป็นภาพที่แสดงอารมณ์ได้ดีเยี่ยมละก็มันจะดึงดูดให้คนดูคล้อยตามได้ไม่ยากเลย

           ขนาด 

          เทคนิคนี้เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาใช้งานครับ ขนาดที่ใหญ่เต็มตาเต็มอารมณ์ยังไงก็เรียกร้องความสนใจทางสายตาได้เสมอ ป้ายโฆษณามักจะใช้แนวคิดนี้ในภาพถ่ายให้เห็นกันเป็นประจำอยู่แล้ว ซึ่งมันก็ได้ผลจริง ๆ แต่ก็ต้องมีชั้นเชิงคือไม่ควรจะมีสิ่งอื่นเข้ามาแย่งความสำคัญออกไปจากวัตถุ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นอะไรที่จะช่วยเปรียบเทียบให้มันดูใหญ่ขึ้นไปอีกได้ในความรู้สึก ยกตัวอย่างเช่น ดอกไม้ดอกใหญ่กับแมลงตัวเล็ก เป็นต้น

เทคนิคการถ่ายภาพ

           ใช้ระบบถ่ายภาพต่อเนื่อง 
          ระบบถ่ายภาพต่อเนื่องไม่ใช่ระบบที่สร้างมาเฉพาะการถ่ายภาพนก, สัตว์ป่า หรือกีฬาเท่านั้น แม้แต่การถ่ายภาพทั่วไปก็ใช้ได้เหมือนกัน ซึ่งการถ่ายภาพต่อเนื่องกันไปหลาย ๆ ชอตนี้จะทำให้ได้ภาพบางจังหวะที่น่าสนใจ หรือช่วยลดความผิดพลาดในภาพบางประเภทได้ด้วย 

           อย่าจมอยู่แต่กับช่องมองภาพ 

          ในการถ่ายภาพบางประเภท (โดยเฉพาะพวกที่ต้องรอจังหวะ) เราอยากแนะนำให้ตั้งกล้องและเซตค่าต่าง ๆ ให้เข้าที่ ปรับมุมภาพที่เหมาะสมที่สุด ต่อสายลั่นชัตเตอร์เข้ากับกล้อง จากนั้นก็ถอนสายตาออกจากช่องมองภาพแล้วลั่นชัตเตอร์ด้วยนิ้วมือในขณะที่มองภาพที่เกิดขึ้นนั้นด้วยสายตาจริง ๆ โดยไม่ต้องผ่านช่องมองภาพ


ที่มา : https://men.kapook.com/view119763.html

8 เทคนิคการตั้งค่ากล้องถ่ายรูป ที่ช่างภาพมือใหม่ควรรู้

8 เทคนิคการตั้งค่ากล้องถ่ายรูป ที่ช่างภาพมือใหม่ควรรู้

 สำหรับช่างภาพมือใหม่ที่เพิ่งซื้อกล้องถ่ายรูปมาใช้งานนั้น คงจะปวดหัวอยู่ไม่น้อยกับการตั้งค่ากล้องในการถ่ายรูปแต่ละครั้ง ครั้นจะใช้แต่โหมด Auto แล้วลั่นชัตเตอร์ รัว ๆ อย่างเดียวก็เกรงว่าจะใช้งานกล้องได้ไม่คุ้มค่าเท่าไร ดังนั้นเราจึงรวบรวมวิธีการตั้งค่ากล้องแบบพื้นฐานมาฝากกันด้วยครับ

           รูรับแสงกว้างแต่ค่า f น้อย

          การตั้งค่ารูรับแสงสำหรับช่างภาพมือใหม่อาจทำให้สับสนอยู่ไม่น้อย เพราะตัวเลขของค่า f จะสวนทางกับความกว้างของรูรับแสง ซึ่งจริง ๆ แล้วค่า f ที่เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่ขนาดจริงของรูรับแสง แต่เป็นอัตราส่วนระหว่างเส้นผ่านศูนย์กลางของเลนส์และระยะโฟกัส ซึ่งหากปรับค่า f ที่ 1.8 รูรับแสงจะเปิดกว้างและแสงจะเข้ากล้องมาก ส่วนการปรับที่ F/16 จะเปิดรูรับแสงแคบและช่วยให้แสงเข้าน้อยนั่นเอง

วิธีตั้งค่ากล้องถ่ายรูป
ภาพจาก nikonusa

           ความกว้างของรูรับแสงส่งผลต่อความชัดของภาพ

          สำหรับคนที่อยากถ่ายภาพแนวหน้าชัดหลังเบลอหรือ Depth Of Field (DOF) ให้ออกมาคมชัดและสวยงามละก็ ควรปรับค่า f ให้ต่ำเพื่อเปิดรูรับแสงให้กว้างเข้าไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดการแยกส่วนในภาพระหว่างวัตถุที่โฟกัสกับฉากหลัง โดยวัตถุหลักจะคมชัด แต่ฉากหลังจะเบลอ ขณะที่การปรับรูรับแสงให้แคบโดยดันค่า f ให้สูง จะช่วยให้ได้ภาพที่คมชัดเท่ากันทุกภาพ

           ควรปรับค่ารูรับแสงหรือความเร็วชัตเตอร์ดี ?
          แน่นอนว่าคนที่หัดเล่นกล้องใหม่ ๆ อาจเคยได้ยินว่าให้ลองปรับรูรับแสงหรือความเร็วชัตเตอร์ เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่สวยงาม ซึ่งหลายคนอาจจะงงว่าควรปรับอย่างไรจึงจะพอดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าต้องการถ่ายภาพแนวไหน เช่น การปรับความเร็วชัตเตอร์สูง ก็จะเก็บภาพเคลื่อนไหวได้คมชัดทั้งภาพ ส่วนความเร็วชัตเตอร์ต่ำนั้นช่วยเพิ่มความสมจริงให้กับภาพราวกับว่ากำลังเคลื่อนที่จริง ๆ ขณะที่การตั้งค่าความกว้างของรูรับแสงจะช่วยปรับความคมชัดและความสว่างให้กับภาพตามค่า f ที่ตั้งไว้

วิธีตั้งค่ากล้องถ่ายรูป


           ความเร็วชัตเตอร์ที่หลายคนสับสน

          เชื่อว่าบางคนเมื่อเห็นตัวเลข 1/100 วินาที ต้องนึกถึงอะไรก็ตามที่สามารถทำความเร็วได้อย่างยอดเยี่ยม แต่นั่นไม่ใช่กับการถ่ายรูป เพราะแม้แต่ตัวเลข 1/10 หรือ 1/2 วินาที นั้นไม่ได้เร็วอย่างที่คิด ซึ่งเห็นได้ชัดจากการถ่ายภาพน้ำตก ถ้าตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ด้วยตัวเลขน้อย ๆ ก็จะได้ภาพน้ำตกที่ไหลเป็นธรรมชาติ ซึ่งตรงกันข้ามกับการตั้งค่าแบบตัวเลขเยอะ ๆ ภาพน้ำตกก็จะดูไม่เป็นธรรมชาตินั่นเอง

           ถ่ายภาพในฉากที่มีแสงมาก ๆ แต่ได้ภาพมืด

          ช่างภาพมือใหม่อาจยังงง ๆ ว่าทั้งที่ถ่ายภาพในที่ที่มีแสงสว่างมากแล้ว แต่ทำไมได้ภาพที่ดูมืดเหลือเกิน ซึ่งอาจเป็นเพราะคุณถ่ายภาพย้อนแสงนั่นเอง หรือว่าการถ่ายภาพในที่แสงน้อยกลับได้ภาพที่สว่างเกินไป ซึ่งควรแก้ไขด้วยการใช้ฮิสโตแกรมช่วย เพราะการอ่านฮิสโตแกรมจะช่วยให้คุณรู้ว่าในภาพที่ถ่ายนั้นมีแสงมากน้อยเกินไปหรือไม่

วิธีตั้งค่ากล้องถ่ายรูป
ภาพจาก joehendricks.photography

           การตั้งค่ากล้องบางรุ่นเพื่อถ่ายภาพแนว Landscape มีความแตกต่างกัน

          ข้อดีของกล้องดิจิตอลสมัยนี้ นอกจากจะถ่ายภาพคมชัดแล้ว ยังมีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกใช้มากมาย เพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่สวยงามโดยไม่ต้องตั้งค่าอะไรให้วุ่นวาย เช่น โหมดพอร์เทรต โหมดโคลสอัพ และโหมดไนท์ เป็นต้น แต่สำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศนั้น กล้องดิจิตอลบางรุ่นมีให้เลือกถึง 2 แบบ ซึ่งอาจทำให้หลายคนสับสนทั้ง Landscape Picture Style และ Landscape Scene Mode โดยแบบแรกจะช่วยปรับภาพทั่วไปให้มีอารมณ์คล้ายภาพวิว ส่วนโหมดต่อมาช่วยเพิ่มความคมชัดให้กับภาพแนวแลนด์สเคปได้เป็นอย่างดี

           คุณภาพของไฟล์ภาพ

          ปกติแล้วไฟล์ภาพของกล้องดิจิตอลมีให้เลือกหลายแบบ แต่ชนิดที่ได้รับความนิยมในหมู่ช่างภาพคงหนีไม่พ้น ไฟล์ JPEG และ RAW ซึ่งไฟล์ทั้ง 2 ชนิดนี้ให้คุณภาพของภาพถ่ายที่แตกต่างกัน โดยไฟล์แบบ JPEG รายละเอียดของภาพจะถูกบีบอัดให้มีขนาดเล็กลง ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการใช้ภาพทันทีหลังถ่ายเสร็จ ขณะที่ไฟล์ RAW เป็นภาพขนาดใหญ่ที่มีรายละเอียดภาพครบถ้วน เหมาะสำหรับคนที่ต้องแต่งภาพให้สวยงามด้วยโปรแกรมต่าง ๆ

วิธีตั้งค่ากล้องถ่ายรูป
ภาพจาก nikon

           การตั้งค่าระบบออโต้โฟกัส

          ระบบออโต้โฟกัสของกล้องดิจิตอลส่วนใหญ่จะมีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ One-shot AF (หรือ Single-servo AF) เหมาะกับการถ่ายภาพนิ่ง เพราะกล้องจะจับโฟกัสที่วัตถุหลักและล็อกไว้จนกว่าจะกดชัตเตอร์ ซึ่งจะช่วยให้ภาพที่คมชัด, AI Servo AF (หรือ Continuous-servo AF) กล้องจะไม่ล็อกโฟกัสไว้กับวัตถุ แต่จะปรับโฟกัสตามวัตถุ ซึ่งเหมาะกับการถ่ายภาพเคลื่อนไหวนั่นเอง, ส่วน AI Focus AF (หรือ Auto-servo AF) เมื่อใช้โหมดนี้ กล้องจะสลับระหว่างแบบแรกกับแบบที่สองให้เอง




ที่มา : https://men.kapook.com/view127492.html